จิตตปัญญาศึกษา (Contemplative Education) คือ การศึกษาที่นำการสำรวจใคร่ครวญ การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ เข้ากับการศึกษาในรูปแบบเพื่อความเข้าใจในตัวเอง สังคม และความเชื่อมโยงกับโลก โดยจิตตปัญญาศึกษาจะมองเห็นและตระหนักถึงความไม่สมดุลย์ของการเรียนรู้ในรูปแบบที่มุ่งเน้นแต่ความรู้ทางวิชาการ โดยละเลยความสำคัญของความหมายของชีวิต เรียนรู้ว่าตนเองเป็นใคร และมองเห็นเพื่อนความเป็นมนุษย์ของกันและกันร่วมกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน
แนวทางการปฏิบัติของจิตตปัญญาศึกษา (Tree of Contemplative Practices)
การปฏิบัติ กระบวนการ หรือแนวคิดของจิตตปัญญาสามารถมองภาพเปรียบเทียบกับต้นไม้ได้ โดยที่มีทั้งลำต้น กิ่งก้าน และใบที่มีชีวิต แม้ว่าใบจะเกิดจากกิ่ง และกิ่งเกิดจากลำต้น แต่ทั้งสามสิ่งคือสิ่งที่สำคัญของต้นไม้ โดยสามารถฝึกปฏิบัติได้ดังนี้
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าวมาในนี้ ซึ่งไม่ได้หมายความว่ากิจกรรมหรือการฝึกปฏิบัติเหล่านั้นไม่ได้ทำให้เกิดความเข้าใจในจิตตปัญญาศึกษา แต่หากเป็นกิจกรรม กระบวนการ หรือการฝึกปฏิบัติ เพื่อบ่มเพาะเมล็กพันธุ์แห่งปัญญาและความตระหนักรู้ ก็ล้วนแต่เป็นกระบวนการปฏิบัติของจิตตปัญญาเช่นกัน
กิจกรรมจิตตศึกษา เพื่อมุ่งพัฒนาปัญญาภายในให้กับผู้เรียนไว้โดยเฉพาะ ซึ่งควรใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก่อนเรียนในภาคเช้า และ 15 นาทีก่อนเริ่มการเรียนในภาคบ่าย
ทั้งนี้จะได้คุณค่าเพิ่มตรงที่กิจกรรมจิตตศึกษา ยังเป็นการเตรียมความพร้อมทั้งทางกาย และใจให้กับผู้เรียนก่อนเรียนไปด้วยในตัว และอีกช่วงหนึ่งอาจ จัดตอนสิ้นวันโดยใช้เวลาประมาณสัก 20-30 นาที เพื่อให้ทุกคนได้กลับมาสู่ความสงบ กลับมาสู่ตัวเอง แล้วใคร่ครวญและสะท้อนถึงสิ่งที่ได้เรียนมาทั้งวันก่อนการกลับบ้าน
กิจกรรมที่มุ่ง สร้างพลังสงบ ให้เกิดความสงบภายในและการผ่อนคลาย เช่น
ㆍขณะทำกิจกรรมก็เปิดเสียงดนตรีที่มีลักษณะของคลื่นความถี่ต่ำเพื่อเหนี่ยวนำคลื่นสมองของเด็กให้มีความถี่ต่ำลง
ㆍการทำโยคะเพื่อบริหารอวัยวะภายในและให้ได้อยู่กับลมหายใจ
ㆍการทำ Body Scan ทั้งแบบยืน นั่ง หรือนอน เพื่อการผ่อนคลายแบบลึกและบ่มเพาะสิ่งที่ดีงามในจิตใต้สำนึก
ㆍการนวดตัวเองหรือนวดกันและกัน เพื่อสร้างความรู้สึกดีต่อกัน
กิจกรรมที่มุ่งให้ เกิดสติ เพื่อให้เด็กมีความชำนาญในการกลับมารู้ตัวได้เสมอ ๆ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้เด็กได้รู้เท่าทันอารมณ์ และการกระทำที่กำลังเกิดขึ้นในแต่ละขณะ เพื่อจะได้รู้ว่าควรหยุดหรือควรดำเนินกิจกรรมนั้นต่อ
ㆍการกำกับกาย การเดินตามรอยเท้า การอยู่กับลมหายใจ การบอกการรับรู้จากประสาทสัมผัสขณะนั้น การทำ Brain Gym กิจกรรมจิตตศึกษาที่อยู่ในหน่วย Home การทำบอดีสแกนแบบยืน นั่ง หรือนอน
กิจกรรม ฝึกสมาธิหรือการจดจ่อ ให้เด็กมีความสามารถในการคงสมาธิได้ยาวขึ้นเพื่อกำกับความเพียรทั้งการเรียนรู้ และการทำงานให้สัมฤทธิ์ผล เช่น
ㆍกิจกรรมส่งน้ำ ส่งเทียน ต่อบล็อก Brain Gym การจินตนาการเป็นภาพ การร้อยลูกปัด การร้อยมาลัย การพับกระดาษ การวาดภาพ การอ่านวรรณกรรม การฟังนิทาน หรือเรื่องเล่า พิธีซา พิธีจัดดอกไม้
กิจกรรมที่ มุ่งให้เห็นความเชื่องโยง เห็นคุณค่าของตนเอง คนอื่น หรือสิ่งอื่น เช่น
ㆍการสนทนากับต้นไม้ การเล่าข่าว การค้นหาคุณค่าจากสิ่งที่ไร้ค่า การขอบคุณสิ่งต่าง ๆ การค้นหาต้นกำเนิดของตัวเราและสิ่งต่าง ๆ การพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงและความเสื่อมของตัวเองและสิ่งต่างๆ
กิจกรรมที่ มุ่งให้เกิดการบ่มเพาะจิตสำนึกที่ดีงาม เช่น
ㆍ นิทาน เรื่องเล่าเพื่อการใคร่ครวญ การใช้คำที่ให้พลังด้านบวก การเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้อื่น การเดินทางไกล การอยู่ลำพังกับธรรมชาติ
กิจกรรมที่ บ่มเพาะพลังความรักความเมตตา เช่น
ㆍการไหว้กันและไหว้สิ่งต่าง ๆ การกอด การขอบคุณกันและกัน และการขอบคุณสิ่งต่าง ,การยกย่องชื่นชมความดีงามของคนอื่น ๆ การร่วมกับชื่นชมศิลปะ
สรุปได้ว่า ทุกกิจกรรมล้วนมีความสำคัญในการกำกับสติ เพื่อให้ผู้เรียนมีความชำนาญในการกลับมารู้ตัวได้เสมอ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้เด็กได้รู้เท่าทันอารมณ์ และการกระทำที่กำลังเกิดขึ้นในแต่ละขณะ เพื่อจะได้รู้ว่าควรหยุดหรือควรดำเนินกิจกรรมนั้นต่อไป