เวลาทำการ

จันทร์ - พฤหัส, 8:00 - 16:30 น.

ศุกร์, 8:00 - 15:30 น.

เบอร์โทรติดต่อ

039 311 038

Email

chatchai.s@sm.ac.th
ย้อนกลับ

             จิตตปัญญาศึกษา (Contemplative Education) คือ การศึกษาที่นำการสำรวจใคร่ครวญ การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ เข้ากับการศึกษาในรูปแบบเพื่อความเข้าใจในตัวเอง สังคม และความเชื่อมโยงกับโลก โดยจิตตปัญญาศึกษาจะมองเห็นและตระหนักถึงความไม่สมดุลย์ของการเรียนรู้ในรูปแบบที่มุ่งเน้นแต่ความรู้ทางวิชาการ โดยละเลยความสำคัญของความหมายของชีวิต เรียนรู้ว่าตนเองเป็นใคร และมองเห็นเพื่อนความเป็นมนุษย์ของกันและกันร่วมกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน

แนวทางการปฏิบัติของจิตตปัญญาศึกษา (Tree of Contemplative Practices)

การปฏิบัติ กระบวนการ หรือแนวคิดของจิตตปัญญาสามารถมองภาพเปรียบเทียบกับต้นไม้ได้ โดยที่มีทั้งลำต้น กิ่งก้าน และใบที่มีชีวิต แม้ว่าใบจะเกิดจากกิ่ง และกิ่งเกิดจากลำต้น แต่ทั้งสามสิ่งคือสิ่งที่สำคัญของต้นไม้ โดยสามารถฝึกปฏิบัติได้ดังนี้

  1. การปฏิบัติผ่านความสงบนิ่ง (stillness practice) เป็นการมุ่งเน้นความสงบ และตั้งมั่นของร่างกาย จิตใจ สามารถฝึกปฏิบัติได้ผ่านกระบวนการเช่น การสัมผัสความเงียบ, การทำสมาธิ หรือการสงบใจ
  2. การปฏิบัติผ่านกิจกรรมรังสรรค์(generative practices) เป็นการฝึกเพื่อให้เกิดความรักความเมตตา หรือมีจิตที่บริสุทธิ์ สามารถฝึกปฏิบัติได้ผ่านกระบวนการเช่น การสวดมนต์ การฝึกปฏิบัติความรักและเมตตา ภาวนา ทองเล็น
  3. การปฏิบัติผ่านกระบวนการเชิงสร้างสรรค์ (creation process practices) หมายถึง การสังเกตใคร่ครวญภายในและพัฒนาญาณทัศนะ (intuition) และความละเอียดอ่อนประณีต สามารถฝึกปฏิบัติได้ผ่านกระบวนการเช่น การวาดภาพ จัดดอกไม้ การร้องเพลง
  4. การปฏิบัติผ่านการทำกิจกรรมทางสังคม (activist practice) เป็นการสัมผัสเรียนรู้และใคร่ครวญเห็นความเชื่อมโยงแห่งเหตุปัจจัยของความสุข และทุกข์ในชีวิตจริง สามารถฝึกปฏิบัติได้ผ่านกระบวนการเช่น การทำกิจกรรมจิตอาสา การทำงาน
  5. การปฏิบัติผ่านกระบวนการเชิงความสัมพันธ์ (relational practice) เป็นการฝึกสติ เฝ้ามองสภาวะภายใน สะท้อนตนเอง อาศัยความสัมพันธ์ ของกัลยาณมิตรสะท้อนซึ่งกันและกัน สามารถฝึกปฏิบัติได้ผ่านกระบวนการเช่น สุนทรียสนทนา การฝึกฟังอย่างลึกซึ้ง การปรึกษาในรูปแบบวงสนทนา การสนทนากับเสียงภายใน (Voice Dialogue) การเล่าเรื่อง
  6. การปฏิบัติผ่านการเคลื่อนไหว (movement practice) เป็นการฝึกสังเกตและมีสติอยู่กับการ เคลื่อนไหวร่างกาย สามารถฝึกปฏิบัติได้ผ่านกระบวนการเช่น โยคะ ซี่กง ไทเก๊ก การเดินสมาธิ การเต้น ไอกิโด
  7. การปฏิบัติผ่านพลังพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ (ritual/cyclical practice) เป็นการสัมผัสพลัง/จิตวิญญาณขออง ธรรมชาติ และสัมผัสเรียนรู้ตนเอง เพื่อพัฒนาความสงบเย็นและละเอียดประณีตภายใน สามารถฝึกปฏิบัติได้ผ่านกระบวนการเช่น การสวดมนต์ภาวนา นิเวศภาวนา (Vision Quest) การปลีกวิเวก สัมผัสธรรมชาติ (Retreat)

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าวมาในนี้ ซึ่งไม่ได้หมายความว่ากิจกรรมหรือการฝึกปฏิบัติเหล่านั้นไม่ได้ทำให้เกิดความเข้าใจในจิตตปัญญาศึกษา แต่หากเป็นกิจกรรม กระบวนการ หรือการฝึกปฏิบัติ เพื่อบ่มเพาะเมล็กพันธุ์แห่งปัญญาและความตระหนักรู้ ก็ล้วนแต่เป็นกระบวนการปฏิบัติของจิตตปัญญาเช่นกัน

กิจกรรมจิตตศึกษา เพื่อมุ่งพัฒนาปัญญาภายในให้กับผู้เรียนไว้โดยเฉพาะ ซึ่งควรใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก่อนเรียนในภาคเช้า และ 15 นาทีก่อนเริ่มการเรียนในภาคบ่าย

ทั้งนี้จะได้คุณค่าเพิ่มตรงที่กิจกรรมจิตตศึกษา ยังเป็นการเตรียมความพร้อมทั้งทางกาย และใจให้กับผู้เรียนก่อนเรียนไปด้วยในตัว และอีกช่วงหนึ่งอาจ จัดตอนสิ้นวันโดยใช้เวลาประมาณสัก 20-30 นาที เพื่อให้ทุกคนได้กลับมาสู่ความสงบ กลับมาสู่ตัวเอง แล้วใคร่ครวญและสะท้อนถึงสิ่งที่ได้เรียนมาทั้งวันก่อนการกลับบ้าน

กิจกรรมที่มุ่ง สร้างพลังสงบ ให้เกิดความสงบภายในและการผ่อนคลาย เช่น

ㆍขณะทำกิจกรรมก็เปิดเสียงดนตรีที่มีลักษณะของคลื่นความถี่ต่ำเพื่อเหนี่ยวนำคลื่นสมองของเด็กให้มีความถี่ต่ำลง

ㆍการทำโยคะเพื่อบริหารอวัยวะภายในและให้ได้อยู่กับลมหายใจ

ㆍการทำ Body Scan ทั้งแบบยืน นั่ง หรือนอน เพื่อการผ่อนคลายแบบลึกและบ่มเพาะสิ่งที่ดีงามในจิตใต้สำนึก

ㆍการนวดตัวเองหรือนวดกันและกัน เพื่อสร้างความรู้สึกดีต่อกัน

กิจกรรมที่มุ่งให้ เกิดสติ เพื่อให้เด็กมีความชำนาญในการกลับมารู้ตัวได้เสมอ ๆ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้เด็กได้รู้เท่าทันอารมณ์ และการกระทำที่กำลังเกิดขึ้นในแต่ละขณะ เพื่อจะได้รู้ว่าควรหยุดหรือควรดำเนินกิจกรรมนั้นต่อ

ㆍการกำกับกาย การเดินตามรอยเท้า การอยู่กับลมหายใจ การบอกการรับรู้จากประสาทสัมผัสขณะนั้น การทำ Brain Gym กิจกรรมจิตตศึกษาที่อยู่ในหน่วย Home การทำบอดีสแกนแบบยืน นั่ง หรือนอน

กิจกรรม ฝึกสมาธิหรือการจดจ่อ ให้เด็กมีความสามารถในการคงสมาธิได้ยาวขึ้นเพื่อกำกับความเพียรทั้งการเรียนรู้ และการทำงานให้สัมฤทธิ์ผล เช่น

ㆍกิจกรรมส่งน้ำ ส่งเทียน ต่อบล็อก Brain Gym การจินตนาการเป็นภาพ การร้อยลูกปัด การร้อยมาลัย การพับกระดาษ การวาดภาพ การอ่านวรรณกรรม การฟังนิทาน หรือเรื่องเล่า พิธีซา พิธีจัดดอกไม้

กิจกรรมที่ มุ่งให้เห็นความเชื่องโยง เห็นคุณค่าของตนเอง คนอื่น หรือสิ่งอื่น เช่น

ㆍการสนทนากับต้นไม้ การเล่าข่าว การค้นหาคุณค่าจากสิ่งที่ไร้ค่า การขอบคุณสิ่งต่าง ๆ การค้นหาต้นกำเนิดของตัวเราและสิ่งต่าง ๆ การพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงและความเสื่อมของตัวเองและสิ่งต่างๆ

กิจกรรมที่ มุ่งให้เกิดการบ่มเพาะจิตสำนึกที่ดีงาม เช่น

ㆍ นิทาน เรื่องเล่าเพื่อการใคร่ครวญ การใช้คำที่ให้พลังด้านบวก การเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้อื่น การเดินทางไกล การอยู่ลำพังกับธรรมชาติ

กิจกรรมที่ บ่มเพาะพลังความรักความเมตตา เช่น

ㆍการไหว้กันและไหว้สิ่งต่าง ๆ การกอด การขอบคุณกันและกัน และการขอบคุณสิ่งต่าง ,การยกย่องชื่นชมความดีงามของคนอื่น ๆ การร่วมกับชื่นชมศิลปะ

สรุปได้ว่า ทุกกิจกรรมล้วนมีความสำคัญในการกำกับสติ เพื่อให้ผู้เรียนมีความชำนาญในการกลับมารู้ตัวได้เสมอ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้เด็กได้รู้เท่าทันอารมณ์ และการกระทำที่กำลังเกิดขึ้นในแต่ละขณะ เพื่อจะได้รู้ว่าควรหยุดหรือควรดำเนินกิจกรรมนั้นต่อไป